Nan Ep.4 น่านนะจ๊ะ

ตอนที่แล้วพาเพื่อนไปเที่ยว “บ่อเกลือ” มา ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินทางกลับสู่น่านนครกันแล้ว โดยวันนี้เราจะกลับไปทางถนนที่สวยที่สุดของเมืองน่าน พวกเรามาตาม Google map ตลอดสองข้างทางมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนกันสวยงาม

ถนนเส้นนี้สวยมาก คดเคี้ยวลัดเลาะไปตามทิวเขา พวกเรามาเรื่อยๆ จนมาแวะซื้อกาแฟตรงโค้งนี้แหละ ร้านชื่อว่าโครตสูงมีห้องน้ำด้วยนะ ประเด็นอยู่ตรงนี้แหละเชื่อว่าหลายๆ คนมาแล้วต้องแวะแน่นอน ไหนๆ แวะแล้วเค้ามีที่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายกันซะหน่อย

ถนนหมายเลข 3

จากจุดตรงนี้ขับไปเรื่อยๆ ก็จะเจอถนนหมายเลข 3 ถนนที่ทุกคนต้องจอดรถถ่ายรูป ตรงนี้ต้องจอดรถกันแบบระวังหน่อยน้า เพราะรถมาเร็วพอเห็นถนนปุ๊บก็เบรกกันเลย พวกเราแวะถ่ายรูปจากฝั่งนี้ก่อนโชคดีที่วันนี้รถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่

ไหนๆ มาตั้งไกลถ่ายรูปกันให้ครบทุกมุมเลย ถนนสวยจริงๆ คดเคี้ยวจนเป็นเลขสามสวยงามอย่างที่เห็น ระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่นั้นก็มีน้องขี่มอไซต์มาคนเดียวให้ช่วยถ่ายรูปน้องให้หน่อยก็เลยถ่ายให้เค้าไป โครตเท่ห์เลยขี่มอไซต์เที่ยวคนเดียวชิลมาก

จากจุดนี้เราก็ขับยาวเข้าเมืองกันเลย ถามว่าหลับไหม ไม่หลับเลยเพราะทางโค้งสุดยอดมาก ตามแพลนวันนี้ของพวกเราคือขับรถเข้าเมืองนอนเมืองน่านอีกคืนหนึ่งค่อยบินกลับกรุงเทพฯ

Yindee Hostel

ที่นี่มีชื่อว่า “ยินดีลอจ์ด” เป็นโฮสเทลเล็กๆ แต่ดีไซน์ได้น่านอนมาก อุปกรณ์ที่นอนดีเค้ามีแต่เป็นแบบห้องพักรวมแบบ Dormitory แต่เค้ามีห้องหลายขนาด พวกเราเลือกพักห้อง 6 คน เหมาห้องไปเลยเพื่อที่ห้องจะได้เป็นของเรา ห้องน้ำที่นี่มีทุกชั้นสะดวกมาก ราคา 1,609 บาท ถือว่าคุ้มมากกับคน 5 คนหารกันตกคนละไม่กี่บาท เมื่อที่พักเรียบร้อยก็ได้เวลาไปตะลุยกาดเมืองน่านกัน

ใครที่ชอบลองกินหลายๆ อย่างแนะนำให้มาที่กาด ของกินมากมายอาหารพื้นเมืองมีให้เลือกซื้อกันเพียบ ชอบบรรยากาศแบบนี้จังเราอยู่กับโควิดมาสองปีแล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับไปเดินกาดแบบไม่ต้องใส่แมสเนอะ ความที่เป็นขาช้อปของพวกเราทุกคนใครใคร่ลองอะไรลอง ใครใคร่ซื้อจัดไป ผลที่ได้มาสรุปกันที่ที่พัก

คติประจำใจของพวกเราคือ เหลือดีกว่าขาด อย่าให้ได้แยกจากกันเพราะมันจะไม่มีใครห้ามใคร มื้อเย็นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ชอบที่โรงแรมนี้เค้ามีพื้นที่ส่วนกลางให้นั่งทานอาหาร แต่ก็เก็บให้เรียบร้อยหลังทานแล้ว ที่นี่เค้ามีอาหารเช้าให้ด้วยนะ

ที่นี่ถือว่าบริการดีมากเจ้าของก็อัธยาศัยดีน่ารักเชียวแหละ ที่พักก็โอเคเลยล่ะ ใครมาเมืองน่านลองมาพักที่นี่ดูจ๊ะ จากนั้นพวกเราก็ไปเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์น่านกัน เพราะอยากไปดูไฮไลท์ที่มารอบก่อนไม่ได้เห็นเพราะเค้าปิด รอบนี้จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปชม

งาช้างดำ (The Black Elephant Tusk)

งาช้างดำเดิมเป็นสมบัติของเจ้าผู้ครองนครน่านที่รักษาสืบต่อกันมาหลายชั่วคน ลักษณะเป็นงาปลี (งาที่มีความยาวไม่มากนัก แต่มีวงรอบขนาดใหญ่) สีน้ำตาลเข้ม มีจารึกอักษรธรรมล้านนาถอดความเป็นภาษาไทยว่า “กิ่งนี้หนัก 15,000” ขนาดของงาช้างดำนี้ยาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนกว้างสุดได้ 47 เซนติเมตร มีโพรงตอนโคนลึก 15 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 18 กิโลกรัม

จากการศึกษาทางวิชาการพบว่า เป็นงาช้างตันที่ถูกถอดออกมาจากตัวช้างโดยช้างเจ้าของน่าจะมีอายุอยู่ประมาณ 60 ปี สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้าย เพราะมีรอยเสียดสีกับงวงชัดเจน

เชื่อกันว่า พญาการเมืองเจ้าเมืองพลั่วหรือปัว องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์ภูคา (ครองเมืองพุทธศักราช 1896 – 1906) ได้ทำพิธีสาปแช่งให้งาช้างดำกิ่งนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนครเท่านั้น เมื่อเจ้าพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัยในพุทธศักราช 2475 เจ้านายบุตรหลานจึงมอบงาช้าดำให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ส่วนฐานรูปครุฑที่แบกรับงานั้นทำจากไม้สักทั้งท่อนสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2467

เฮือนฮังต่อ

จากนั้นพวกเราก็จบทริปด้วยการไปกินเค้กและกาแฟของเมืองน่าน ที่ร้านเฮือนฮังต่อร้านยอดฮิตที่ใครมาน่านเค้าจะแนะนำให้มาทานกาแฟที่นี่ บรรยากาศร่มรื่นมากเป็นร้านอยู่ในสวนสีเขียวพื้นที่กว้างขวาง เพราะบางส่วนเค้าใช้จัดพิธีแต่งงานได้ด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องลาานจอดรถมีเพียบ

กาแฟงานดีเลยทีเดียวมีให้เลือกหลายแบบชนิดที่สั่งแล้วยังงงเลยจ๊ะ ขนมเค้กที่นี่ก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน ราคาก็มาตรฐานร้านกาแฟดัง พวกเรานั่งทานกันสักพักก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว หลังจากเอารถไปคืนเรียบร้อยพวกเราก็เดินทางกลับอย่างประทับใจ มาสองรอบแล้วเมืองนี้ไม่เคยผิดหวังสักครั้งจริงๆ

Editor :: Patthanid Chenagtawee
IG :: patthanid
Facebook :: โสดเที่ยวสนุก By Patthanid
Website :: www.ablogtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *