ไหว้พระฉะเชิงเทรา

ทริปนี้เป็นทริปแบบชวนมาก็ไปสิจ๊ะรออะไร เป็นทริปที่อยู่ๆ น้องๆ ก็พาไปมูกันแบบงงๆ พวกเราสายกินก็ไม่ขัดศรัทธาพาไปมูที่ไหนก็ไปกันหมด เพราะเรารู้ว่าจบทริปก็คือกินเป็นเป้าหมายสำคัญของเรา ทริปนี้เราก็ไปรวมตัวกันที่บ้านเปาที่ลาดกระบังจากนั้นก็ออกเดินทางสู่ฉะเชิงเทรา

จังหวัดนี้บอกเลยว่าแอดมินมาเที่ยวนานมากแล้ว จำได้ว่านั่งเรือล่องแม่น้ำอะไรสักอย่างเนี่ยแหละที่อยู่ในตลาด จากทริปนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเลย จนมาทริปนี้แหละที่จะได้กลับไปเยือนฉะเชิงเทราอีกครั้ง

จุดแรกที่พวกเรารีบไปก่อนคือ เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน จากกรุงเทพฯ ใช้เวลามาถึงที่นี่เกือบสองชั่วโมงมาถึงคนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ที่นี่จะมีจุดสังเกตุคือพระพิฆเนคปางยืนสีดำองค์ใหญ่มาก พวกเรามาถึงเกือบเที่ยงลุ้นแทบแย่ ดีที่มาทันรอบครอบเศียร

คนมารอเข้าคิวทำพิธีเยอะพอสมควรนี่ขนาดมาช่วงโควิดนะ คนยังมารอคิวกันเยอะมาก เข้าจะมีรอบของการทำพิธีต้องมาให้ตรงเวลาที่กำหนด ซึ่งพวกเรามาทันเวลาพอดีเลยได้เข้าทำพิธีด้วย

การครอบเศียรนั้นเท่าที่หาข้อมูลได้ เค้ากล่าวไว้ว่า ” การครอบเศียร” ในงานพิธีนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ควรเป็นพิธีที่ได้อัญเชิญครู บวงสรวงเทพตามพิธีมีการจัดเครื่องบูชาอย่างถูกต้อง มีเจ้าพิธีทำการอัญเชิญอย่างถูกต้อง เช่นในงานพิธีไหว้ครูตามสำนักต่างๆ งานบวงสรวงบางแห่ง ก็จะจัดพิธีอัญเชิญครู อัญเชิญเทพ มาก็อาจจะจัดครอบเศียร ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตเสมือนเราเข้าพบผู้หลักผุ้ใหญ่ ให้ท่านอวยชัยให้พรให้เราพบความสุข ความสำเร็จในการดำรงชีวิต มาแล้วก็ทำตามน้องๆ บอก เพราะก่อนมาเราก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรมาน้องๆ ว่าดีเราก็ทำตามน้องๆ แหละ

พอทำพิธีกันเสร็จก็ไปทานอาหารกันที่ครัวอิ่มสุข ฉะเชิงเทรา เป็นร้านอาหารสไตล์ครอบครัว เพราะเราสังเกตุเห็นว่าคนที่มาส่วนใหญ่เป็นครอบครัว คือแต่ละโต๊ะมีวัยครบเลยในโต๊ะ จากนั้นพวกเราก็ไปต่อยังวัดจุกเฌอช่วงที่ไปท้าวเวสสุวรรณกำลังเป็นที่โด่งดังมาก มาฉะเชิงเทราต้องมาวัดนี้

หากใครอยากร่ำรวย ราบรื่น ทั้งการเงิน และการงาน อยากมีโชคลาภต้องมาไหว้ ท้าวเวสสุวรรณทั้ง 2 องค์นี้ โดยทั้งสององค์มีความหมายแตกต่างกันดังนี้

1. ท้าวเวสสุวรรณองค์สีม่วง ที่กำลังสร้างวิหารครอบองค์นี้คือท้าวรุ่งเรือง ส่วนใหญ่คนที่มาขอพรกับท้าวเวสสุวรรณองค์นี้จะมาขอพรเกี่ยวเรื่องการงานเป็นหลัก

2. ท้าวเวสสุวรรณองค์สีแดง คือ ท้าวร่ำรวย ชาวบ้านส่วนใหญ่มาขอพรเรื่องการเงินการค้าขาย โชคลาภเป็นหลัก

ตอนไปก็ไม่รู้หรอกว่าต้องขอพรองค์ไหน เพิ่งมารู้ตอนเขียนรีวิวเนี่ยแหละ ดันไปขอพรที่องค์สีม่วงเป็นหลัก จำได้ว่าปีนั้นการงานก้าวหน้าเลย แต่ไม่มีโชคลาภเอาเสียเลย ไว้ต้องไปขอใหม่โฟกัสองค์สีแดงเป็นหลัก วันที่ไปได้ไปกราบหลวงพ่อช้างด้วยล่ะ ท่านเป็นคนที่ไอเดียดีมากเลยนะขอเป็นข้าวสารแทนการจุดประทัด ข้าวสารท่านก็เอาไปแจกคนประสบภัยต่างๆ ไอเดียดีมาก เสียดายที่ขอไว้ไม่สำเร็จเพราะดันไปขอหวยองค์สีม่วง ไม่งั้นจะเอาข้าวสารไปบริจาคเลย คือวัดอยู่คู่ชุมชนช่วยเหลือชุมชนดีมากอันนี้ต้องสนับสนุน

ที่มาขององค์ท้าวเวสสุวรรณทั้งสองคือ เจ้าอาวาสวัดจุกเฌอหลวงพ่อช้าง เจ้าอาวาสวัดจุกเฌอ เล่าว่า “ฝันว่ามียักษ์ตนหนึ่งเดินมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ใหญ่มาก สะเทือนไปหมดเลย เราทำงานอยู่หน้าวัดจนเราต้องหันไปมอง เห็นว่าห่มเป็นฤาษีนะ แต่งตัวเรียบร้อย เดินเข้ามา ก็ถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านก็บอกเราท้าวเวสสุวรรณ เห็นท่านลำบาก ทำมานาน ทุ่มเท เสียสละ ดูท่านมานานแล้ว เราจะมาอยู่เราจะมาช่วยท่าน ผ่อนหนักให้เป็นเบา บ้านเราเอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน ทุกคืน เหมือนท่านมาคอยบอกเราว่าต้องทำอะไร ไม่มีคืนไหนไม่มาเลยเป็นเหตุให้เราปั้นมาจนสำเร็จ”

ส่วนท้าวเวสสุวรรณที่ตั้งประดิษฐานหน้าทางเข้าศาลาที่มาของสององค์นี้ ความเกี่ยวข้องกับเรื่องอาถรรพณ์จากนักธุรกิจนำมาถวายที่วัด ก่อนหน้านี้นักธุรกิจบูชาท้าวเวสสุวรรณทั้งสองแล้วทำให้เกิดปัญหาธุรกิจติดขัดมีปัญหา แต่น่าแปลกใจที่เมื่อนักธุรกิจ 2 ท่านนี้นำมาถวายวัด การงานราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไรเลย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเล่ากันว่า หากอยากมีธุรกิจร่ำรวยราบรื่น อย่าลืมไหว้ขอพรท่านก่อนเข้าศาลาล่ะ

จากนั้นพวกเราไปต่อยังวัดสมานรัตนารามที่มีองค์พระพิฆเนศองค์สีชมพู หากใครมาฉะเชิงเทาต้องมาไหว้ท่านที่วัดนี้ องค์จริงใหญ่มาก ซึ่งกว่าจะเดินมาถึงเราก็ตะลึงกับความใหญ่โตมาก วัดนี้มีสิ่งสักการะแบบเยอะมากกว่าที่เคยเห็นที่ไหนมาเลย จนรู้สึกว่ากลายเป็นพุทธพาณิชย์ไปแล้ว

องค์พระพิฆเนศองค์นี้มีขนาดความสูง 16 เมตร และความกว้าง 14 เมตร ลักษณะกึ่งนอนตะแคงบนฐาน พระหัตถ์บนด้านขวาทรงเชือกบ่วงบาศก์ ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะ และหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง พระหัตถ์บนซ้ายทรงเชือกขอสับ ที่ใช้ในการป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาที่หักครึ่ง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละ พระหัตถ์ขวาด้านบนถือดอกบัว

ด้านหน้าฐานพระพิฆเนศ จะเห็นปูนปั้นรูปหนูอยู่สองตัวที่ยืนทำมือป้องหูไว้ ตามประวัติเล่าว่า พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวาร และในความเชื่อของผู้ที่เคารพและสักการะขอพรเป็นประจำ เชื่อว่าถ้าอยากได้สิ่งใด ขอพรสิ่งใดให้สมหวัง ให้ไปกระซิบที่หูหนู แล้วเจ้าหนูบริวารนี้จะนำความไปบอกท่านพระพิฆเนศ ให้ประทานสิ่งที่ต้องการกลับมา และที่สำคัญอย่าลืมติดสินบนหนูด้วยโดยการทำบุญใส่ตู้ที่วางไว้ด้านหน้า

ปางนอนเสวยสุขนั้นมีความหมายว่า เป็นปางที่ประทานความมีกินมีใช้ เงินทองไม่ขาดมือ อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ ขจัดปัญหา ไม่มีเรื่องให้วุ่นวายใจ เนื้อองค์มีสีชมพู รอบฐานมีปางต่างๆถึง 32 ปางให้ชม ภายใต้ฐานพระพิฆเนศเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเกี่ยวกับพระพิฆเนศปางต่างๆ

เสียดายที่แอดมินไม่ได้เข้าไปเพราะคนเยอะมาก แล้ววันนี้ก็อิ่มบุญมากจนไม่ไหว อากาศที่ไปก็ร้อนมากด้วยเช่นกัน เพลานี้ร่างกายต้องการกาแฟ น้องๆ จึงพาไปแวะคาเฟ่ที่ชื่อว่า

ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่อยู่ในบ้านเค้าเลย มีสวนแคสตัสที่สวยงามมาก ภายในร้านมีความร่มรื่นมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้สีเขียวแบบอบอุ่นมากๆ กาแฟก็ใช้ได้มีอาหารทานด้วยนะ พวกเราก็นัดเจอกับอีกกลุ่มที่มาทำบุญเหมือนกันแต่ไม่ได้ขับตามกัน เรียกว่าเจอก็เจอไม่เจอก็ค่อยนัดเจอกัน นั่งเม้าส์กันอยู่สักพักก็แยกย้ายกลับกรุงเทพฯ

พวกเราไปแวะซื้อขนมกันที่ตัวเมืองฉะเชิงเทราก่อนกลับบ้าน มาถึงถิ่นฉะเชิงเทราต้องมากินนมสดท่าใหญ่ร้านดังของที่นี่แวะมาเจอของดีเลย ในซอยนี้ของกินน่าทานหลายอย่างเลย นมสดท่าใหญ่ก็อร่อย ข้าวต้มปลาร้านนี้เราซื้อกลับบ้านอร่อยมาก ส่วนร้านเจ้อรเนี่ยต้องอร่อยแน่นอนคนแน่นร้านเลย แต่ด้วยความที่กินจัดหนักมาตั้งแต่ร้านอิ่มสุข วันนี้เลยไม่ไหวที่จะลองเจ้อรจริงๆ ทริปนี้ก็เป็นทริปไหว้พระของแอดมินที่ดีทริปหนึ่งเลย

Editor :: Patthanid Chenagtawee
IG :: patthanid
Facebook :: โสดเที่ยวสนุก By Patthanid
Website :: www.ablogtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *