Chiang Mai ep.1 Thai Railways

Day 1 Start Trip

ทริปนี้เป็นบุ๊ปปั๊บทัวร์คือนึกจะไปก็ไป แต่มันก็มีเหตุของการเดินทางนะ เนื่องจากเพื่อนของพวกเราป่วยอยู่ที่เชียงใหม่ ใจของทุกคนคือตอนนี้อยากไปเชียงใหม่ แล้วก็ตัดสินใจไปกันเลยเรียกว่าจองวันนี้ไปพรุ่งนี้กันเลยทีเดียว เริ่มจากการไปรวมพลที่กรุงเทพฯ

น้องต่ายไปไปกิน ป.ประทีป เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าสาขาแรกของ ป.ประทีบ ก๋วยเตี๋ยวเรืออันเลื่องชื่ออยู่ที่ซอยเรวดี เชื่อไหมว่ากินสาขาไหนก็ไม่เด็ดเท่าสาขานี้เลยจริงๆ แต่ไม่น่าจะถูกปากชาวต่างชาติเพราะมันเผ็ดมาก รสชาตินี้มันเป็นไทยสไตล์นัวไม่เหมือนใครจริงๆ

จากนั้นพวกเราก็ไปรวมพลบุคคลที่สองคือน้องเต็มนั่งแท็กซี่จากบางบัวทองไปยังสถานีรถไฟหัวลำโพง ไม่ได้มานานแล้วล่ะ จำได้ว่ามาที่นี่ครั้งสุดท้ายกับแฟนคนสุดท้ายสิบกว่าปีแล้วมั้ง ภาพจำหัวลำโพงก็เลือนหายไปกับผู้ชายคนนั้นแหละ หัวลำโพงวันนี้ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย น้องๆ ก็พาเดินออกไปหาอะไรทานกัน เริ่มต้นทริปก็พาเดินซะเหนื่อยเลย

มาถึงก็กินก่อนสิเรื่องใหญ่นะ ชีวิตนี้โชคดีมากที่เพื่อนสนิททุกคนมี Concept เดียวกันหมดนั่นคือ บูรพาไม่แพ้ถ้าแพ้ไม่เรียกว่าบูรพาเรื่องกินเราเรื่องใหญ่มาก จากนั้นก็ไปซื้อไก่ย่างป้ารถเข็นหน้าเซเว่นแถวหัวลำโพงเพื่อตุนสเบียงขึ้นไปทานบนรถไฟสายใหม่ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่

จากนั้นพวกเราก็ไปยังสถานีรถไฟเพื่อไปรับน้องนุชคนสุดท้องน้องอี๋ สมาชิกใหม่ที่ต้องร่วมเดินทางไปกะพี่แบบงงๆ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันอยากไปหาเพื่อนที่ป่วย ณ เชียงใหม่ คิดดูว่าเพื่อนรักขนาดไหนขึ้นรถไฟไปหากันเลยทีเดียว พวกเราหวังเพียงว่าจะได้เห็นหน้าเพื่อนและให้กำลังใจเพื่อนในเวลาที่เพื่อนเจ็บป่วย

นี่ก็เป็นรถไฟขบวนใหม่ที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ เดินทางตอน 18.30 ไปถึงเชียงใหม่ 07.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 คืนเต็ม ใครจะไปคิดเนอะว่าประเทศไทยผู้เคยมีรถไฟใช้เป็นคนแรกของเอเชีย ผ่านไปนานมากเราก็ยังนั่งรถไฟแบบเช่นเดิม ชาวต่างชาติมาก็จะตื่นเต้นกับความคลาสสิคของเรา ตัดภาพไปเพื่อนบ้านเปลี่ยนเป็วหัวจรวดกันหมดแล้ว ไม่รู้เราพัฒนาช้าหรือว่าเราอยากเก็บความคลาสสิคให้คงไว้ก็ไม่รู้นะ

แต่ก็ถือว่าการปรับเปลี่ยนรถนอนครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนที่สร้างประสบการณ์ดีให้กับผู้เขียนมากเลยนะ เพราะมันเปลี่ยนไปมากจริงๆ ดูดีขึ้นสะดวกขึ้นสะอาดขึ้น ผู้เขียนผู้มีประสบการณเลวร้ายเกี่ยวกับรถไฟถึงกับสาบานเลยว่าชาติฉันจะไม่นั่งรถไฟไทยอีกเป็นอันขาด พอได้มาลองแล้วก็เออมันก็ดีขึ้นนะดูปลอดภัยมากขึ้น

ผู้เขียนได้ตู้นอนชั้นบนเพราะว่าเราจองกระทันหันแล้วเป็นน่าเทศกาลเที่ยวเมืองไทยเชียงใหม่คึกคักด้วยนะ สาเหตุเนื่องจากค่าตั๋วเครื่องบินแพงมากเพราะเพิ่งฟื้นจากโควิด นักท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดประเทศก็หันมาเดินทางโดยลงเครื่องที่ดอนเมืองแล้วมาต่อรถไฟไปเชียงใหม่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะมาก เที่ยวนี้ก็เลยอุ่นหนาฝาครั่งไปด้วยชาวต่างชาติซึ่งฉลาดมากจองตู้นอนล่างกันมาหมดเลย พวกเราเลยต้องนอนตู้บนแยกกันแต่ติดกันแค่นั้นเอง

ราคาชั้นบนกับชั้นล่างต่างกันหลักร้อยเองนะ ชั้นบนหนึ่งพันนิดๆ ชั้นล่างก็เก้าร้อยกว่าบาท คือต่างกันไม่เท่าไหร่ ชั้นบนจะเหลือเยอะกว่า เพราะชั้นล่างจะถูกจองเต็มหมดในหน้าเทศกาล

อยากจะบอกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติค๊า เวลามากันสองคนแนะนำให้จองแบบคู่กันชั้นบนกับชั้นล่างนะคะ เพราะก่อนจะปูผ้าที่นอนจะได้นั่งด้านล่างคุยกัน แล้วพออยากนอนก็แยกกันไปนอน ไม่ใช่จองด้านล่างแล้วคุยกันคนละฝั่งค่ะ กลายเป็นว่าเราซึ่งคู่กับชาวต่างชาติเลยต้องขึ้นนอนก่อนเวลา เพราะข้างล่างจะนอนเวลาเค้าคุยกันเราก็นั่งฝั่งตรงข้ามเผชิญหน้ากับเค้าซะงั้น แนะนำจองคู่แบบชั้นล่างและชั้นบนนะคะจะได้เป็นส่วนตัวมากขึ้น ใครสอนให้จองชั้นล่างอย่างเดียวเนี่ย

ความที่ผู้เขียนไม่ได้เดินทางโดยรถไฟนานมาแล้ว เพิ่งรู้ว่าการขึ้นรถไฟนั้นมันตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วย มีความเข้าใจว่าพื้นราบน่าจะไม่มีเรื่องสัญณาน ไม่ใช่เลยจ้าออกอยุธยาเท่านั้นล่ะสัญญาณหาย ทำอะไรได้ล่ะนอนสิคะเป็นคนรักสุขภาพไปโดยปริยาย นอนไวกันเลยทีเดียว

การนอนไวก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะเวลาเรานอนคนเดียวกันสบายไง แต่พอมาอยู่รวมกันคนเยอะๆ ภาวะการหายใจของคนเรามันต่างกัน คุณเอ้ย!! เสียงกรนสนั่นขบวนดิฉันเลยจ้า แบบนอนหลับไม่ลงจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าจะเดินไปล้มใส่พี่เค้าดีไหมให้เค้ารู้สึกตัว เมียก็ไม่มีสะกิดกันเลยทีเดียว กว่าจะได้นอนตอนพี่เค้ามีสะดุ้งทีหนึ่งเนี่ยแหละ จังหวะนี้ต้องชิงหลับก่อนพี่เค้าจะโช็คใหม่เลย

Day 2 Hello Chiang Mai

ใกล้ๆ ถึงเชียงใหม่ประมาณหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เจ้าหน้าที่จะปลุกผู้โดยสายแล้วก็จะพับเตียงขึ้นให้กลายเป็นที่นั่ง ระหว่างนี้ก็จะเป็นช่วงชุลมุนแปรงฟันกัน ซึ่งผู้เขียนเดาสถานการณ์นี้ออกพอเค้าใกล้เก็บเตียงชิงไปแปรงฟันทำธุระยามเช้าให้เสร็จก่อนเลย มาถึงก็นั่งสวยๆ รอรถไฟเข้าชานชลา ถือว่าตรงเวลามากนะมาถึงตามเวลาพอดีเลย

แพลนพวกเราวันนี้คือไปหาอะไรทานกันก่อนระหว่างที่รอน้องที่ประจำอยู่ศูนย์เชียงใหม่มารับพวกเราไปต่อ น้องก็ชวนกันเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังร้านที่ตั้งใจจะมาทานเดินไกลมาก รองเท้าก็ดันกัดอีกพระเจ้าช่วยกล้วยทอด!! ระยาทางใกล้ๆ ไกลขึ้นมาเลย อาการบ่นของมนุษย์ป้าก็ตามมา สุดท้ายมาถึงร้านปิดเลยต้องเปลี่ยนแผนไปทานกาแฟกัน

เนื่องจากว่าไม่ไหวแล้วต้องหยุดร้านนี้แหละ ไม่น่าเชื่อกาแฟโกโก้คือดีมากเลยร้านนี้ ร้านเล็กๆ แต่ไม่ธรรมดาคนทำมีคนเดียวก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ เสริฟ์ไป เหมือนเค้ามีลูกค้าประจำยามเช้าด้วยนะพิกัดนี้ดีเลย

พิกัดร้าน Black Single Cofee Bar :: https://goo.gl/maps/pxbyZWgibzN1R6QPA

หลังจากสร้างความรำคาญให้บาริต้าของร้าน (ปวดหู) สักแป๊บหนึ่ง น้องเฟริน์ที่พวกเรานัดไว้ก็เดินทางมารับพวกเราเพื่อไปกาดจริงใจหาอะไรทานกัน

ตลาดหรือกาดในภาษาพื้นเมือง ตลาดนี้มีชื่อว่า “กาดจริงใจ” ก็จะมีพวกเสื้อผ้างานฝีมือแบบมีแบรนด์เป็นของตัวเอง อาหารและผักสดผลไม้ขาย ตลาดสะอาดมากแบ่งเป็นโซนๆ ให้เดินได้ง่าย ซึ่งเวลานี้เสือโหยอย่างพวกเราหิว โซนแรกที่พุ่งไปหาก็คืออาหาร

ที่นี่ก็จะมีอาหารหลายแบบผสมกัน อาหารพื้นเมือง อาหารปกติ อาหารนานาชาติ มีครบเหมาะสำหรับคนชอบลอง คือได้ลองอย่างละนิดอย่างละหน่อยเพลินๆ ไป เค้ามีโต๊ะสำหรับให้นั่งทาน ส่วนใหญ่ที่นี่เน้นภาชนะลดโลกร้อนเป็นหลัก ถือว่าดีนะแพงหน่อยแต่ถ้าช่วยโลกได้บ้างมันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

จากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นครูบาชื่อดังแห่งเมืองเชียงใหม่ หากใครมาสายมูก็ต้องไม่พลาดพิกัดนี้ หากถามอากู๋เกี่ยวกับประวัติท่านแบบสั้นๆ นั่นคือ ครูบาศรีวิชัยหรือพระสีวิไชย เป็นพระเถระชาวจังหวัดลำพูน ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างและบูรณะพุทธศาสนสถานหลายแห่งทั่วภาคเหนือของประเทศไทย จนได้รับการขนานนามว่า “ตนบุญแห่งล้านนา” จึงไม่แปลกที่ท่านจะเป็นที่พึ่งทางใจของชาวเชียงใหม่

แม้เราจะไม่ใช่คนเชียงใหม่หากแต่ได้ยินชื่อเสียงท่าน พวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มาขอให้ครูบาช่วยให้เพื่อนรอดจะเคราะห์กรรมในครั้งนี้เช่นกัน ดอกไม้ที่ผู้เขียนถือเป็นดอกไม้พื้นเมืองของเชียงใหม่เนี่ยแหละ มีเป็นฤดูกาลด้วยนะไม่แพงด้วยล่ะดันจำชื่อไม่ได้ต้องขออภัยท่านผู้อ่าน บางทีสมองก็จะอ๋องๆ บ้างเป็นบ้างเวลา

จากนั้นก็ได้เวลาเข้าเยี่ยมเพื่อนสนิทที่สุดของเรา เห็นสภาพเพื่อนแล้วนี่มันเคราะห์กรรมอะไรเนี่ย มาฝ่าฟันคุดแต่ดันติดเชื้อในกระแสเลือด จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตเลยนะ เห็นน้องเจ็บแล้วก็ใจหายยังไงบอกไม่ถูก เวลานั้นรู้สึกว่าดีใจที่ตัดสินใจมากันวันนี้ เพราะเพื่อนยังรู้สึกตัวยังโต้ตอบกับเราได้ เรายังให้กำลังใจกันและกันได้ เพื่อนจะรู้ว่าเรารักเค้าในยามลำบากเช่นนี้ ซึ่งก็ดีใจแทนเพื่อนที่น้องๆ เพื่อนๆ รักเค้ามาก

การมีคนรักเนี่ยมันสำคัญมากนะ คำว่า “ใครๆ ก็รัก” เนี่ยไม่ใช่ได้มาง่ายๆ นะ ทริปนี้พวกเราก็ดีใจที่ได้มาส่งกำลังใจจากเพื่อนทุกๆ คน มาเห็นหน้ากันตอนเป็นๆ เนื่ยมันยังรู้นะว่ารัก ถึงแม้จะมาแล้วก็ร้องไห้น้ำตาซึมกันเป็นแถว แต่ก็ดีใจที่ได้มา กำลังใจนั้นสำคัญมากกับคนป่วยนะ

ก่อนออกจากห้องเยี่ยมผู้ป่วยเรายังได้จับมือกัน แม้จะไม่คิดว่านี่การเป็นการจับมือกันครั้งสุดท้าย ยังจำมืออุ่นๆ หนาๆ ของเพื่อนได้อยู่เลย สู้นะคือคำที่บอกน้องซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ได้พูดกับน้องในเวลาอีกเดือนต่อมา คนเรามันไม่แน่ไม่นอน คำว่า “ไม่แน่นอนคือนิรันดร์” จงจำคำนี้เอาไว้

เวลาแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน จงหมั่นทำดีต่อกันไว้ แม้จากไปความดีนั้นก็ยังอยู่ในใจให้ระลึกถึงกันตลอดเวลา และเวลามีค่าเสมอจงใช้เวลาให้มีค่าที่สุดสำหรับตัวเราเองและคนที่รักนะคะ เพราะเมื่อถึงวันจากกันจะได้ไม่เสียใจนะ ..

Editor :: Patthanid Chenagtawee
IG :: patthanid

Facebook :: โสดเที่ยวสนุก By Patthanid
Website :: www.ablogtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *