มานุด – บ้านนอก

EP 1 :: จุดเริ่มต้นของการมาเป็นมนุษย์บ้านนอก

เรื่องมันก็มีอยู่ว่าเริ่มทำงานในความรับผิบชอบที่ทำอยู่ไม่ไหว หลายๆ อย่างมาพร้อมความกดดันขั้นสุดขีด เพราะงานที่ทำก็ไม่ใช่ทางถนัดของเราเลย ความรับผิดชอบก็เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกว่า เราต้องหาทางออกสำหรับตัวเองแล้วล่ะ นั่นคือ “การสมัครงาน” ใหม่

อยู่ๆ ฟ้าก็ประทานตำแหน่งงานที่มีความท้าทาย เป็นเทรนของสิบปีที่แล้วเลย นั่นคือการเป็นเซลขายสมาร์โฟน จำได้ว่าตอนนั้น BlackBerry มันดังมาก เรียกว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ยืนหนึ่งเดียวในสมัยนั้น เด็กยุคนั้นต้องรู้จัก “พิน” แน่นอน จำได้กันไหม ขอพินหน่อย!!

ประกอบกับออปชั่นที่บริษัทเสนอมาก็ถือว่าโอเคมาก เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนของออฟฟิตเลยนั่นคือทำงานที่บ้าน เข้าออฟฟิตเดือนละ 1 ครั้ง มีโน็ตบุ๊คให้มาทำงาน 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์สำนักงานพร้อมสรรพมาให้ที่บ้าน เสมือนว่าบ้านคือออฟฟิต

ในสมัยนั้นที่นี่ไม่มีดีลเลอร์ในมือเลย ดังนั้นงานของเราก็คือการขยายดีลเลอร์ในเขตตะวันตก ดาต้าในมือคือ 0 ไม่มีอะไรให้เลย ให้ไปลุยเองตามสบายใจ จำได้เลยว่าจุดเริ่มต้นเป้า 3 ล้านบาทต่อไตรมาสแรก ฟาดไปเกือบห้าล้านบาทเป็นการเปิดประเดิมวิถีเซลบ้านนอกได้อย่างสวยงาม

สมัยนั้นใครๆ ก็อยากขาย BlackBerry ไปที่ไหนดีลเลอร์ก็ให้ความสนใจ เพราะอาวุธที่เรามีถือว่ายืนหนึ่งได้สบายๆ สมัยน้ำท่วมกรุงเทพฯ BlackBerry ขายดีมากชนิดที่ว่า เอาเรือขนมือถือออกสู่ต่างจังหวัดเลยที่เดียว

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ได้มาใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด เชื่อไหมว่าภัทรานิตย์นี่เป็นคนสุดท้ายในชั้นเรียนเลยก็ว่าได้ ที่ไม่กลับบ้านนอกเหมือนเพือนๆ ที่เรียนจบก็ไปทำงานที่บ้าน ส่วนน้อยมากที่ยังอยู่กรุงเทพฯ

ตลอดสิบปีที่ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ ก็ผ่านชีวิตการทำงานมาหลายรูปแบบ เรียกว่าใช้ชีวิตได้สุดทุกสิ่ง เปลี่ยนที่ทำงานประมาณ 10 ที่ได้ ทำงานชนิดที่ว่าลุยมาสารพัด เป็นเซลขายงานโปรเจค เป็นเลขา เป็นเซลขายคอรส์ภาษาจีน เป็นเซลขายสื่อโฆษณา เป็นจัดซื้อ เป็นเซลขายคอมพิวเตอร์ เป็นจัดซื้อบริษัทก่อสร้าง จนมาจบที่เซลขายมือถือในปัจจุบัน

ชีวิตในกรุงเทพฯ มันก็เหมือนวิถีชีวิตแบบเร่งรีบ ทำอะไรก็มีแต่การแข่งขัน แข่งกันในทุกด้าน แต่มันก็สนุก จะเรียกว่าหลงในแสงสีก็ว่าได้ เลิกงานช็อปปิ้งสิจ๊ะ สมัยนั้นอยู่สะพานใหม่ที่ช็อปปิ้งก็ไม่พ้น เซ็นทรัลลาดพร้าวกับยูเนี่ยนมอลล์ อย่าให้ได้เห็นป้าย Sale แวะมันทุกที่

ตอนน้้นใช้ชีวิตสุดขั้วมากในการทำงานทุกประเภท เคยทำงานแบบสองบริษัทอีกต่างหาก เช้าทำบริษัทหนึ่ง เย็นถึงเที่ยงคืนทำบริษัทหนึ่ง ใช้เงินแบบสนุกสนานมาก จะว่าไปแล้วก็เป็นคนที่หาเงินได้ง่ายมากจริงๆ

จนมาถึงวันที่แบบต้องมีบ้าน ตอนนั้นก็ไม่เคยวางแผนอะไรในชีวิตเอาเสียเลย เงินมีใช้สิ จะเก็บทำไม อันนี้เป็นตัวอย่างที่ผิดนะ แต่ไว้จะเล่าจุดเปลี่ยนในตอนต่อไป ตอนอยู่กรุงเทพฯ เงินแทบไม่มีเหลือเลย ใช้ราบเรียบเดือนชนเดือนทุกเดือน

มาถึงจุดพีคสุดก็คือวันที่ต้องสร้างบ้านให้พ่อแม่ อันนี้เรื่องใหญ่เลยความที่เราไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อน และไม่เข้าใจเลยว่าบ้านมันมักจะบานปลาย มาถึงจุดที่เป็นหนี้จนพ่อต้องให้เงินมาปิดหนี้ จำได้เลยว่า พ่อสอนว่า “อย่าเป็นหนี้อีกนะลูก อะไรก็ตามซื้อเป็นเงินสดนะลูก”

แต่ถึงแม้จะเป็นหนี้ก็บริหารหนี้แบบว่า ไม่เคยจ่ายขั้นต่ำเลยนะ ยังคงจัดการเงินได้ดีพอสมควร จึงเป็นที่มาของลูกหนี้ชั้นดีแห่ง UOB เนี่ยแหละ พอชีวิตเราเริ่มหมุนๆ แบบนี้ทุกเดือน ทุกอย่างมีแต่รายจ่าย ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจกลับบ้าน

จึงเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ เพราะมองแล้วว่าถ้ากลับบ้านค่าใช้จ่ายเราก็ไม่สูงมากนัก ประกอบกับเงินเดือนก็ดีกว่าเดิม แล้วก็มีอิสระหลายอย่าง จบชีวิตแสงสีแห่งเมืองกรุงกลับมาเป็นเด็กบ้านนอกเต็มตัว

ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าชีวิตมันต้องเสี่ยงแล้วล่ะ มันไม่มีอะไรจะเสีย กลัวไหม? กลัวมากกับการเป็นเซลที่ต้องวิ่งไปหาลูกค้าที่ไม่รู้จัก เพราะเราทำงานมากับบริษัทที่มี Data ลูกค้ามาให้ตลอด นี่ต้องเริ่มใหม่ทำทุกอย่างใหม่หมด

ซึ่งมองจุดดีเราจะกลายเป็นผู้นำขึ้นมาทันที และไม่มีข้อเปรียบเทียบกับใคร เพราะเราเป็นคนแรกที่เค้าให้ใช้โมเดลทำงานต่างจังหวัดแบบไม่มีศูนย์อยู่ในเขต คนอื่นต้องประจำอยู่ศูนย์และต้องเข้าศูนย์เพื่อสแกนเข้างาน

และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นต้องมาใช้ชีวิตกับคำว่าครอบครัว นั่นก็หมายถึงพ่อแม่นั่นเอง ซึ่งชีวิตหลายสิบปีมากที่เราใช้ชีวิตคนเดียวมาตั้งแต่เรียนหนังสือยันทำงาน แต่วันนี้จะกลับมาสู่ชีวิตที่มีครอบครัวเหมือนเดิม บอกเลยว่ามันไม่ง่ายกับการใช้ชีวิตจริงๆ

โปรดติดตามต่อในตอนต่อไป ..

Editor :: Patthanid Chenagtawee
IG :: patthanid
Facebook :: โสดเที่ยวสนุก By Patthanid
Website :: www.ablogtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *