Progressive lens
ประสบการณ์ตัดแว่น Progressive
เมื่ออายุเดินทางไกลมาถึงเลข 4 นั้นหมายถึง 40 up นั่นแหละ หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป ใครที่ไม่ค่อยได้ใช้สายตามากนักตั้งแต่วัยเยาว์การเสื่อมของกล้ามเนื้อตาก็ไม่เยอะมาก หากแต่เป็นคนที่ใช้สายตาอยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ บอกเลยว่าสิ่งที่ตามมานั่นคือความเสื่อมของกล้ามเนื้อตาส่งผลให้สายตายาวไกลมาก
นั่นแหละเป็นปัญหาที่ผู้เขียนเจอตั้งแต่อายุ 38 สิ่งที่สังเกตุง่ายๆ เลยอาการแรกที่จำได้นั่นคือการมองตัวเลขสินค้าในเซเว่นไม่เห็น T3 อ่านไม่ออกเลยเหอะ แล้วอาการต่อมาคือปวดคอปวดไหล่มากแบบนึกว่ามีใครมานั่งอยู่บนบ่า เหตุเกิดจากเมื่อเรามองได้ไม่เหมือนเดิมเราเลยต้องเพ่งมากกว่าเดิม นั้นหมายถึงการล้าของกล้ามเนื้อตา
ผู้เขียนเริ่มเข้าสู่วงการ Progressive Lens ตั้งแต่อายุ 38 เพราะเห็นโฆษณาของยี่ห้อ Essilor ตอนสืบค้นเรื่องแว่นสายตายาว จำได้ว่าสมัยนั้นยี่ห้อนี้คือ Top สุดในรุ่นแล้ว จากนั้นก็มาค้นหาร้านตัดแว่นที่จำหน่ายแบรนด์นี้ จนมาเจอที่นนี่เลย Chavalit Optic by Optometrist ชวลิตออพติค ศูนย์เลนส์โปรเกรสซีฟโดยหมอสายตา
พิกัดร้าน :: https://goo.gl/maps/EFBBVKs5SZ7eQg1ZA
ขับรถจากราชบุรีเข้ากรุงเทพฯ มาเลยเพื่อมาตัดแว่นโดยเฉพาะ เริ่มจากวัดสายตาก่อนแล้วก็เริ่มลองเลนส์ ที่นี่มีเลนส์ให้ลองหลายแบรนด์และเยอะมาก ในกล่องเบอร์สายตาของหมอเราก็ลองมาจนสุดทางทั้งกล่องเลย ไม่ไหวยิ่งราคาถูกความโค้งของเลนส์มันเยอะ ใส่แป๊บเดียวปวดตาเลย จนถามหมอว่ามีดีที่สุดไหม?
ลืมเล่าไปว่าที่นี่มีหมอตาเฉพาะทาง นักทัศนมาตร (Optometrist) คือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายตา และระบบการมองเห็นของมนุษย์ โดยศึกษาเฉพาะทางด้านระบบการมองเห็นในสาขา “ Doctor of Optometry,O.D.” เป็นหลักสูตรปริญญาตรี 6ปี ในประเทศไทยมีประมาณ 300 คน อยู่ที่ร้านนี้ถึง 5 คน จึงเป็นผลที่เลือกที่นี่
พอถามหมอก็บอกว่ามีแต่เราไม่มีให้ลองนะ มันเป็นเลนส์ที่ต้องตัดเฉพาะบุคคลของ Essilor X-series ซึ่งเป็นรุ่นที่เราดูมานั่นแหละ ราคาเลนส์ก็ราวๆ 40,000 นะตอนนั้น ก็เลือกกรอบเลือกแว่นเสร็จสรรพจบตรงที่ 45,000 เนี่ยแหละ เวลานั้นมันไม่ไหวแล้วไงมองก็ลำบาก ไม่บอกที่บ้านเลยว่าตัดแว่นมาเท่าไหร่ ราคานี้เราได้โปรเกสซีฟอีกอันด้วยนะ สำหรับใช้ทำงานโดยเฉพาะมันจะดีกว่า อันที่ตัดมาอีกอันสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน เชื่อไหมว่ากลับไปไม่ปวดคอปวดบ่าอีกเลย ทำให้รู้ว่าอาการนี้จะกลับมาอีกครั้งเมื่อสายตาเราเปลี่ยนไป ก็ใช้แว่นนี้มาราวๆ 3 ปี ปัญหาที่เจอคือ
- แว่นน้ำหนักเยอะไป ทำให้ไม่อยากใส่ตลอดเวลา ต้องมีการถอดเข้าถอดออก ตอนนั้นเราเลือของ Bolon ไปใช้เวลานานแล้วจะปวดตรงจมูก ทำให้รู้ว่าเราต้องเลือกกรอบแว่นที่เบาเพื่อจะได้ใส่สบาย
- ไม่เคลือบกันแดด เป็นปัญหามากเพราะเวลาออกแดดก็ต้องเปลี่ยนแว่นเป็นแว่นกันแดด ซึ่งพอใส่แว่นกันแดดก็มองตัวหนังสือไม่เห็นเป็นปัญหามาก เพราะชอบถ่ายรูปทำให้รู้ว่าคราวหน้าต้องเคลือบกันแดดมาเลย
จนปีที่สามนั่นแหละสายตาเปลี่ยนไปเยอะมากอาการเดิมกลับมา จึงเป็นจุดต้องเปลี่ยนแว่นอีกครั้ง ก็กลับมาร้านเดิมเนี่ยแหละเพราะดูแลกันมาตลอด ส่วนใหญ่จะมาตัดตอนปลายปีโปรลดเยอะดี มารอบนี้วัดใหม่ค่าสายตา 250 จ้า ยาวไปไหนเรียกว่ายาวเกินอายุเลยนะ
รอบนี้ก็เริ่มมีความรู้เรื่องเลนส์โปรเกรสซีฟมาบ้างแล้ว ก็เริ่มใช้เวลานานมากขึ้นในการอยู่ทีร้านแว่นจากรอบแรกอยู่ประมาณครึ่งวัน รอบนี้อยู่มันทั้งวันไปเลยเพราะอยากลองเลนส์ยี่ห้ออื่นบ้างอย่าง Rodenstock ของเยอรมัน หรือ Hoya ที่มีพี่ลูกค้าคนหนึ่งแนะนำ เราก็ลองมันสองแบรนด์เลย หมอที่นี่ใจดีให้คำแนะนำดีมากผลการทดลองสองแบรนด์นี้
- Hoya เลนส์แคบมากด้วยความทีเรายาวมากมันเหลือพื้นทีมองชัดได้น้อย ถ้าเหลือบตามองซ้ายและขวาคือเบลอหมดเลย นี่ลองตัว Top ของ Hoya แล้วนะ ดังนั้นแบรนด์นี้จึงไม่เหมาะกับเรา
- Rodenstock เคยไปถามร้านหนึ่งเกือบแสนอ่ะ มาแล้วเลยต้องลองกันหน่อย มันวูบวาบสายตาปรับไม่ทัน แบรนด์นี้หมอให้ลองถึงตัว Top เช่นกันไม่รอด
หมอก็เลยบอกว่าพี่ใช้สองยี่ห้อนี้ไม่ได้หรอกเห็นอยากลองเลยให้ลอง เพราะพี่ใช้ Essilor X-Series มาก่อน มันปรับได้อัตโนมัตินี่คือจุดต่างจากแบรนด์อื่น ถ้าคนไม่เคยใช้รุ่นนี้จะไม่รู้สึก แต่พี่เคยใช้มาแล้วหมอเลยแนะนำเลนส์ยี่ห้อเดิม แต่ปรับรุ่นเพิ่มขึ้น เพราะหลังจากสามปีผ่านไปเลนส์ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
นั่นหมายถึงถ้าสายตาเรายาวขึ้นแต่เราจะให้มองได้เหมือนเดิมเลนส์ต้องดีขึ้น ที่นี่เลยได้อัพเวลมาเป็นรุ่น Essilor X-Series 3D คราวนี้ไม่ได้ใช้รุ่น Top แล้ว เพราะรุ่น Top สุดราคาเลนส์ประมาณ 100,000 กว่า ยังไม่รวมค่าแว่นนะ ไม่ไหวแพงไปเลยเลือกเบอร์ 3 พอ เลนส์ประมาณ 61,900 บาท (ลด 20% แล้ว)
ที่นี่เรามี Pain มาแล้วไงเรื่องกรอบแว่น ก็หากรอบแว่นเลยที่นี่จะมีกรอบแว่นให้เลือกเยอะมากหลากหลายราคา สายตาอันเฉียบคมก็หันไปเห็นแว่นอันหนึ่งที่ดูเก๋ๆ ประหนึ่งใส่แว่นกันแดด ยังไม่ได้ดูแบรนด์และราคานะ ชอบอันนี้เลยพอดูราคาและแบรนด์เท่านั้นแหละเทสดีตลอดนะคะ
อันที่หยิบมาเป็นของ Lingberg ชื่อก็ไม่ต้องสืบว่าราคาสูงขนาดไหน การออกแบบของเค้าดีมากขาแว่นทำมาจาก Acetate+ titanium ตัวที่เราเลือก “ลินด์เบิร์กไม่ใช่แว่นเซเลป แต่เป็นแว่นที่สร้างตัวคุณให้เป็นเซเลป” นี่แหละคือคอนเซปต์มันเลย เพราะเป็นแว่นที่ไม่มีแบรนด์ตีมาบนขานะ เป็นรุ่นหนึ่งใน Series Spirit แว่นไร้กรอบน้ำหนักเบา ไม่ต้องสืบว่าคิดนานไหม ไม่นานเลยจ้ากรอบแว่น 25,000 บาท คิดสิคิดไม่คิดอ่ะซื้อเลย 5555
เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าแว่นหนักเนี่ยหงุดหงิดมากไม่อยากใส่ ทำให้ใส่แว่นได้ไม่คุ้มเพราะเลนส์เราแพง ดังนั้นเมื่อมีอะไรที่ตอบโจทย์ เบาสบาย ไม่ปวดตาและไม่รำคาญ ถือเป็นการลงทุนที่ดีเพราะเราต้องใส่แว่นนี้ 365 วันเลยนะ ถ้าใส่คุ้มคือจบ
จบเลยวันนี้ซื้อแว่นเหยียบแสนจ้า หลังจากนั้นก็ไปรับแว่นเพื่อจะได้ลองแว่นอีกครั้ง ข้อดีของที่นี่และแบรนด์นี้คือเลนส์ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าสายตาเปลี่ยนสามารถเปลี่ยนได้ภายในสามเดือน ของแพงมันก็ดีแบบนี้แหละ
หลังจากรับแว่นก็ได้ลองใส่ดีขึ้นเยอะเลย มองเห็นชัดขึ้นแต่ความที่ค่าสายตายาวมันเยอะ เลนส์ตัวนี้ความโค้งของขอบแว่นมันแทบจะไม่มีเลย แต่หมอบอกว่าต้องหันทั้งหน้าเวลาหันสายหันขวา จะมาเหลือบมองเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้วเพราะค่าตายาวมันเยอะมาก
สองเดือนผ่านไป ..
ทำไมแว่นไม่ชัดอีกแล้วฟ่ะ? กลับไปที่ร้านอีกครั้งหมอวัดสายตาให้ใหม่ ปรากฏว่าจาก 250 มันดันยาวขึ้นเป็น 300 เอาแล้วไง หมอบอกว่าคนที่จะเจอเคสนี้น้อยมากที่สายตาจะเปลี่ยนไวขนาดนี้ แต่ด้วยความที่มีประกันไงก็เลยต้องวัดใหม่ตัดกันใหม่อีกรอบ เคลมเลนส์ได้เลนส์ใหม่เลย
อีกหนึ่งอาทิตย์ก็ไปรับแว่นเหมือนเดิม โหย .. กลับมาชัดแล้วจ้า จากวันนั้นจนวันนี้ก็ใส่ได้สบายๆ เพราะแว่นอันนี้ทำให้เราใส่ได้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ต้องถอดออกเลย ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Lindberg ตัวแป้นรองจมูกทำมาจากซิลิโคนเกรดการแพทย์มันเลยทำให้ใส่แว่นได้สบายมาก เวลาไม่มีกรอบแว่นนี่เบาสบายมากๆ เลย ดังนั้นอยากจะแชร์ประสบการณ์ว่า การตัดแว่นดีๆ ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหลายอย่างเลยนะ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ค่ะ
Editor :: Patthanid Chenagtawee
IG :: patthanid
Facebook :: โสดเที่ยวสนุก By Patthanid
Website :: www.ablogtravel.com